วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ท่องเที่ยวนครพนม ต้องไปกราบไหว้พระธาตุพนม


ประวัติพระธาตุพนม

พระธาตุพนม ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุพนมวรวิหาร ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบล และอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุ อยู่บนภูกำพร้า หรือดอยกำพร้า ภาษาบาลีว่า กปณบรรพตหรือ กปณคีรี ริมฝั่งแม่น้ำขลนที อันเป็นเขตแขวงนครศรีโคตบูรโบราณ
ตามตำนานพระธาตุพนม ในอุรังคนิทานกล่าวว่า สมัยหนึ่งในปัจฉิมโพธิกาล พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระอานนท์ ได้เสด็จมาทางทิศตะวันออก โดยทางอากาศ ได้มาลงที่ดอนกอนเนา แล้วเสด็จไปหนองคันแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทน์) ได้พยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตจะเกิดบ้านเมืองใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จากนั้นได้เสด็จไปตามลำดับ ได้ทรงประทานรอยพระพุทธบาทไว้ที่ โพนฉัน (พระบาทโพนฉัน) อยู่ตรงข้ามอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย แล้วเสด็จมาที่ พระบาทเวินปลา ซึ่งอยู่เหนือเมืองนครพนมปัจจุบัน ได้ทรงพยากรณ์ที่ตั้งเมืองมรุกขนคร (นครพนม) และได้ประทับพักแรมที่ภูกำพร้าหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเสด็จข้ามแม่น้ำโขง ไปบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตบูร พักอยู่ที่ร่มต้นรังต้นหนึ่ง (พระธาตุอิงฮังเมืองสุวรรณเขต) แล้วกลับมาทำภัตกิจ (ฉันอาหาร) ที่ภูกำพร้าโดยทางอากาศ
พญาอินทร์ได้เสด็จมาเฝ้าและทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเหตุที่มาประทับที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ในภัททกัลป์ที่นิพพานไปแล้ว บรรดาสาวกจะนำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์เมื่อนิพพานแล้ว พระมหากัสสปะ ผู้เป็นสาวก ก็จะนำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้เช่นกัน จากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ทรงปรารภถึงเมืองศรีโคตบูร และมรุกขนคร แล้วเสด็จไปหนองหารหลวง ได้ทรงเทศนาโปรดพญาสุวรรณพิงคาระ และพระเทวี ประทานรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นั้น แล้วเสด็จกลับพระเชตวัน หลังจากนั้นก็เสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินารา
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระสรีระ แต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อพระมหากัสสปะมาถึงได้อธิษฐานว่า พระธาตุองค์ใดที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า ขอพระธาตุองค์นั้นเสด็จมาอยู่บนฝ่ามือ ดังนี้แล้ว พระอุรังคธาตุ ก็เสด็จมาอยู่บนฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะ ขณะนั้นไฟธาตุก็ลุกขึ้นโชติช่วง เผาพระสรีระได้เองเป็นอัศจรรย์ เมื่อถวายพระเพลิงและแจกพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ มาทางอากาศ แล้วมาลงที่ดอยแท่น (ภูเพ็กในปัจจุบัน) จากนั้นได้ไปบิณฑบาตที่เมืองหนองหารหลวง เพื่อบอกกล่าวแก่พญาสุวรรณพิงคาระ ตำนานตอนนี้ตรงกับตำนานพระธาตุเชิงชุม และพระธาตุนารายณ์เจงเวง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่แล้ว
เมื่อพญาทั้ง 5 ซึ่งอยู่ ณ เมืองต่าง ๆ อันได้แก่ พญานันทเสน แห่งเมืองศรีโคตบูร พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัตถนคร พญาคำแดง แห่งเมืองหนองหารน้อย และพญาสุวรรณพิงคาระ แห่งเมืองหนองหารหลวง ได้พากันปั้นดินดิบก่อแล้วเผาไฟ ตามคำแนะนำของพระมหากัสสปะ แบบพิมพ์ดินกว้างยาวเท่ากับฝ่ามือพระมหากัสสปะ
ครั้นปั้นดินเสร็จแล้วก็พากันขุดหลุมกว้าง 2 วา ลึก 2 ศอก เท่ากันทั้ง 4 ด้าน เมื่อก่อดินขึ้นเป็นรูปเตา 4 เหลี่ยม สูง 1 วา โดยพญาทั้ง 4 แล้ว พญาสุวรรณภิงคาระก็ได้ก่อส่วนบน โดยรวมยอดเข้าเป็นรูปฝาปารมีสูง 1 วา รวมความสูงทั้งสิ้น 2 วา แล้วทำประตูเตาไฟทั้ง 4 ด้าน เอาไม้จวง จันทน์ กฤษณา กระลำพัก คันธรส ชมพู นิโครธ และไม้รัง มาเป็นพื้น ทำการเผาอยู่ 3 วัน 3 คืน เมื่อสุกแล้วจึงเอาหินหมากคอยกลางโคก มาถมหลุม เมื่อสร้างอุโมงค์ดังกล่าวเสร็จแล้ว พญาทั้ง 5 ก็ได้บริจาคของมีค่าบรรจุไว้ในอุโมงค์เป็นพุทธบูชา
จากนั้น พระมหากัสสปะ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ เข้าบรรจุภายในที่อันสมควร แล้วให้ปิดประตูอุโมงค์ไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยสร้างประตูด้วยไม้ประดู่ ใส่ดาลปิดไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วให้คนไปนำเอาเสาศิลาจากเมืองกุสินารา 1 ต้น มาฝังไว้ที่มุมเหนือตะวันออก แปลงรูปอัศมุขี (ยักษิณีหน้าเป็นม้า) ไว้โคนต้นเพื่อเป็นหลักชัยมงคลแก่บ้านเมืองในชมพูทวีป นำเอาเสาศิลาจากเมืองพาราณสี 1 ต้น ฝังไว้มุมใต้ตะวันออก แปลงรูปอัศมุขีไว้โคนต้น เพื่อหมายมงคลแก่โลก นำเอาเสาศิลาจากเมืองตักศิลา 1 ต้น ฝังไว้มุมเหนือตะวันตก พญาสุวรรณพิงคาระให้สร้างรูปม้าอาชาไนยไว้ตัวหนึ่ง หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อแสดงว่าพระบรมธาตุเสด็จออกมาทางทิศทางนั้น และพระพุทธศาสนาจักเจริญรุ่งเรืองจากเหนือเจือมาใต้ พระมหากัสสปะให้สร้างม้าพลาหกไว้ตัวหนึ่ง คู่กัน หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อเป็นปริศนาว่า พญาศรีโคตบูรจักได้สถาปนาพระอุรังคธาตุไว้ตราบเท่า 5,000 พระวัสสา เกิดทางใต้และขึ้นไปทางเหนือ เสาอินทขีล ศิลาทั้ง 4 ต้น ยังปรากฏอยู่ 2 ต้น ทางทิศตะวันออก ส่วนอีก 2 ต้น ได้ก่อหอระฆังหุ้มไว้ ส่วนม้าศิลาทั้ง 2 ตัว ก็ยังปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน
พระธาตุพนม ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาตามลำดับ การบูรณะครั้งแรกและครั้งที่สอง ไม่ได้บันทึกปีที่บูรณะไว้ การบูรณะครั้งที่สามเมื่อปี พ.ศ. 2157 ครั้งที่สี่เมื่อปี พ.ศ. 2233 ครั้งที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2349 ครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2444 เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ และต่อจากนั้นมาก็มีการบูรณะทั่วไป เช่น บริเวณโดยรอบพระธาตุ
ได้มีพิธียกฉัตรทองคำขึ้นประดิษฐานไว้ที่ยอดองค์พระธาตุ และนำฉัตรเก่ามาเก็บไว้ เมื่อปี พ.ศ. 2497 มีพุทธศาสนิกชนจากดินแดนสองริมฝั่งโขงทั้ง ไทยและลาว หลั่งไหลมาร่วมมงคลสันนิบาต และนมัสการองค์พระธาตุเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน
เมื่อปี พ.ศ. 2518  องค์พระธาตุพนมชำรุดล้มลง ทางราชการได้ดำเนินการก่อสร้างขึ้นใหม่ ให้คงสภาพเดิม ภายในปีเดียวกัน และได้ยืนยงคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
งานนมัสการพระธาตุพนมประจำปี เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3
คำนมัสการพระธาตุพนมมีดังนี้
"กปณคิริสฺมิ ปพฺพเต มหากสฺสเปน ฐาปิตํ พุทฺธอุรงฺคธาตุ สิรสา นมามิ"
แปลว่า "ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระบรมอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปเถระเจ้า นำมาฐาปนาไว้ ณ ภูกำพร้า ด้วยเศียรเกล้า"



วันที่ 1 มกกราคม กระผมและครอบครัวก็ได้ไปกราบไหว้วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร พระธาตุปีวอกและเป็นประธาตุประจำวันอาทิตย์ เพื่อความเป็นศิริมงคลตอนรับปีใหม่  ซึ่งจังหวัดนครพนมจะมีประธาตุประจำวันเกิดของแต่ละวัน ซึ่งก็จะประดิษฐานอยู่ในแต่ละอำเภอของจังหวัดนครพนม

พระธาตุนี้คือประธาตุท่าอุเทน ซึ่งเป็นพระธาตุที่ใกล้บ้านกระผมเป็นพระธาตุประจำวันศุกร์ เราแวะไปกราบไหว้เพราะเป็นทางผ่านตอนเรากลับบ้าน  เราไม่ได้ไปไหว้ประธาตุพนมตามวันเกิดของคนในครอบครัวครบทุกคนเพราะแต่ละอำเภอก็อยู่ไกลกันพอสมควร การเดินทางอาจมืดค่ำ  เราจึงไปไหว้พระธาตุพนมและไหว้พระธาตุพนมท่าอุเทน แล้วก็เดินทางกลับบ้าน 

การบูรณาการแหล่งเรียนรู้นั้นไปใช้ประโยชน์แก่การเรียนการสอนโดยระบุ
  •   การเรียนรู้ในด้านความรู้
  •   การเรียนรู้ในด้านเจตคติ
  •   การเรียนรู้ในด้านกระบวนการคิด
การเรียนรู้ในด้านความรู้

การที่กระผมได้ไปกราบไหว้พระธาตุพนมและพระธาตุพนมท่าอุเทน  ในด้านความรู้ที่ผมได้รับคือ การได้รู้จักการทำบุญทำทาน เพราะปกติผมเป็นคนไม่ค่อยชอบไปไหน  ไม่ชอบเดินทางน้อยครั้งนักที่ผมจะไปทำกิจกรรมหรือไปเที่ยวกับครอบครัว ทำให้ผมได้รู้จักการปรับตัว ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระธาตุพนมว่ามีความเป็นมาอย่างไร  มาประดิษฐานที่จังหวัดนครพนมได้อย่างไร ทำให้ผมได้ความรู้ไปในตัว

การเรียนรู้ในด้านเจตคติ

การได้เห็นประชาชนไปเข้าวัด  ทำบุญทำทานทำให้ผมได้รู้จักการปล่อยวาง การได้เห็นสิ่งที่ดีงาม ทำให้จิตใจเราดีไปด้วยซึ่งผมสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้คือ ทำให้ผมเป็นคนใจเย็นขึ้น เพราะเวลาไปเรียนคนอยู่ MRT เยอะมากทำให้ผมหงุดหงิดทุกครั้งเวลามาเรียน แต่เดี๋ยวนี้ผมก็เป็นคนใจเย็นขึ้นกว่าเดิม

การเรียนรู้ด้านกระบวนการคิด


การที่ได้ไปกราบไหว้สักการะพระธาตุทำให้ผมได้เห็นคนในทุกๆวัยที่ต่างพากันมีจิตใจที่ดีงาม รู้จักการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา ได้เห็นการทำบุญทำทานของประชาชนที่มีความเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพื่อจิตใจที่สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน การรู้จักปล่อยวาง เพื่อความสงบของจิตใจ

" HAPPY NEWYEAR "

การส่งบอลด้วยข้างเท้าด้านใน

การหยุด-พัก-ส่งบอลด้วยข้างเท้าด้านใน


การหยุดลูกบอล หมายถึง การบังคับลูกบอลที่เคลื่อนที่ในลักษณะต่างๆกันให้อยู่กับเท้าบนพื้นหรือเคลื่อนไหวไปในลักษณะที่อยู่ในครอบครอง วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย และ มีประสิทธิผลมากที่สุดในการบยังคับลูกฟุตบอล ถ้าคุณทำมันอย่างถูกต้อง ลูกบอลจะอยู่ใกล้คุณพอที่จะทำให้คุณเล่นได้ง่ายในจังหวะต่อๆไป 

     การจับบอลจังหวะแรก เป็นเทคนิคขั้นพื้นฐานที่สำคัญ เวลาเราดูผู้เล่นชั้นยอด เราจะเห็นข้อดีของการจับบอลจังหวะแรกที่นุ่มนวล และรวดเร็วทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา ผู้เล่นชั้นแนวหน้าจะสามารถจับบอลให้เชื่องเท้าได้ทันที และผลที่ได้รับคือ คุณจะมีเวลามากขึ้นเพื่อที่จะคิดว่า คุณควรทำอะไรต่อไปในสนาม ไม่ว่าคุณจะเล่นอยู่ในระดับไหน คุณก็ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับการวิ่งไล่ลูกบอลที่คุณจับไม่อยู่ เพราะมันจะทำให้คุณเอง และทั้งทีมลำบากมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ดังนั้นจงพยายามฝึกศิลปะขั้นพื้นฐานในการควบคุมบอลให้ชำนาญ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ "จำเป็น"มาก หากคุณอยากก้าวหน้าในการเล่นฟุตบอล 


ขั้นตอนการหยุดหรือรับลูกบอลที่กลิ้งมาบนพื้นด้วยข้างเท้าด้านใน 

1.เมื่อลูกบอลกลิ้งมากับพื้นให้หันหน้าเข้าหาลูกบอลหรือวิ่งเข้าหา ลูกบอล 
2.สายตามองดูลูก จรดเท้าหรือวางเท้าข้างที่ไม่ใช่หยุดลงบนพื้น ให้ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้ายกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้นจากพื้นเล็กน้อย หันปลายเท้าออกด้านนอกในลักษณะตั้งได้ฉากกับขาอีกข้างหนึ่ง 
3.ขณะที่ลูกบอลเคลื่อนใกล้เข้ามาในระยะที่พอจะหยุดได้แล้ว ให้เหยียดเท้าข้างที่จะใช้หยุดออกไปรับลูกบอลให้กระทบบริเวณข้างเท้าด้านใน 
4.ขณะที่ลูกบอลกระทบเท้าให้ดึงเท้ากลับมาข้างหลังอย่างรวดเร็วเพื่อผ่อนความแรงของลูก การปฏิบัติดังกล่าวจะทำให้ลูกบอลอยู่ในครอบครองของเท้าและไม่กระดอนออกไปห่างจากตัว 


ขั้นตอนการหยุดหรือการพักลูกบอลที่ลอยมาในอากาศด้วยข้างเท้าด้านใน 

1.หันหน้าเข้าหาทิศที่ลูกบอลลอยมา 
2.เคลื่อนตัวเข้าหาตำแหน่งที่คาดว่าลูกบอลจะตกลงพื้น 
3.วางเท้าข้างที่ใช้เป็นหลักไว้กับพื้น ทิ้งน้ำหนักตัว ลงบนเท้าข้างนั้น โน้มตัวไปข้างหน้า งอเข่าเล็กน้อย ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้นให้ส้นเท้าสูงจากพื้น 
4.ปลายเท้าหันออกข้างนอกในลักษณะตั้งได้ฉากกับขาอีกข้างหนึ่ง แขนกางออกเล็กน้อย ตาจับจ้องที่ลูก 
5.กะระยะให้ลูกบอลตกลงพื้นเลยจากจุดที่วางเท้าหลักเล็กน้อย โดยให้ปรับความสูงของเท้าตามความสูงของลูกบอลที่ลอยมา 
6.จังหวะที่ลูกบอลย้อยตกลงมาจะกระทบพื้น ให้ใช้ข้างเท้าด้านในปะทะลูกไว้โดยไม่ให้ตกพื้นก่อน พร้อมกับผ่อนเท้าลงตามแรงกระดอนของลูก พาลูกบอลลงสู่พื้น 

ขั้นตอนการส่งลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านในหรือลูกแป 

1.ตาจ้องดูลูกบอล พร้อมกับเป้าหมายที่จะส่ง 
2.ปลายเท้าหลักชี้ไปหาเป้าหมายที่เราจะส่ง 
3.หันปลายเท้าที่จะใช้ส่งออกด้านนอกในลักษณะตั้งได้ฉากกับขาหลักอีกข้างหนึ่ง 
4.ใช้ข้างเท้าด้านในข้างที่จะส่งลูกสัมผัสตรงบริเวณกลางลูกบอล ในขณะเดียวกันนั้นให้เหวี่ยงเท้าจากด้านหลังมากระแทกลูกบอล แล้วส่งลูกออกไป 
5.อย่าส่งลูกบอลแรงหรือเบาเกินไป ต้องฝึกจนสามารถกำหนดความแรงของลูกบอลเองได้ เพราะลูกแปเป็นวิธีการส่งที่แม่นยำที่สุด 


     วิธีฝึกแบบดั้งเดิมกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าคุณฝึกคนเดียว คุณสามารถฝึกกับกำแพงก็ได้ พยายามเตะบอลใส่กำแพงหลายๆแบบ ให้หลากหลาย ทั้งความเร็ว ความสูง มุมกระทบต่างๆให้ต่างๆกันไป แล้วทดสอบว่าคุณจะควบคุมบอลได้ไหม 
ถ้าคุณมีคู่ซ้อมคุณก็สามารถฝึกได้โดยทุ่มบอล หรือ เตะบอลส่งให้คู่ซ้อม และพยายามจับบอลให้ได้ จำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญคือพยายามหัดจับบอลจากการส่งหลายๆแบบ เพื่อที่จะเพิ่มเบสิคในการควบคุมลูกฟุตบอลให้เชื่องเท้า 




เทคโนโลยีที่ใช้นำเข้ามาช่วยในการสอน

  • กล้องวีดีโอ

  • วีดีโอการสอน  การหยุด-พัก-ส่งบอลด้วยข้างเท้าด้านใน

  • สื่อการเรียนการสอนโดยใช้รูปภาพและใช้คำอธิบายใต้ภาพ